รู้จักวัดถ้ำกระบอก
ความเป็นมาของวัดถ้ำกระบอก
ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก
หลวงพ่อจำรูญ ปานจันทร์
หลวงพ่อใหญ่ (หลวงพ่อเมี้ยน ปานจันทร์)
หลวงพ่อเจริญ ปานจันทร์
สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกตั้งอยู่หมู่ที่ ๑๑ ถนนพหลโยธิน ตรงหลักกิโลเมตรที่ ๑๓๒ ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยหลวงพ่อใหญ่ พระอาจารย์จำรูญ ปานจันทร์ และพระอาจารย์เจริญ ปานจันทร์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งที่เดินธุดงค์มา ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ปฏิบัติกัน มาโดยตลอดทุกปี
เริ่มแรกสงฆ์คณะนี้ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดคลองเม่าธรรมโกศล จังหวัดลพบุรี ในระหว่างการเดินธุดงค์ได้เดิน ธุดงค์ผ่านมาแถวเทือกเขาโปร่งปราบ อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ขณะที่พักจากการเดินธุดงค์ที่ ถ้ำกระบอก จึงพิจารณาว่าที่ถ้ำกระบอกสงบเงียบเหมาะเป็นที่ปฏิบัติกิจของสงฆ์มาก และหลังกลับจาก เดินธุดงค์ถึงวัดคลองเม่าฯ จึงตัดสินใจย้ายคณะสงฆ์มาอยู่ที่ถ้ำกระบอก ซึ่งต่อมามีญาติโยมอาราธนาให้อยู่ ที่นี่โดยถวายที่ดินให้ เพื่อการปฏิบัติธรรม คณะสงฆ์จึงอยู่ปฏิบัติธรรมที่นี่ และกลายมาเป็น “สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก” หรือ “ถ้ำกระบอก” สถานที่เลิกยาเสพติดให้โทษในปัจจุบัน ในระยะแรก พระสงฆ์ทั้ง ๓ รูปได้ช่วยกันปกครองคณะสงฆ์ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ หลวงพ่อใหญ่ได้ลาสังขาร พระอาจารย์เจริญ ปานจันทร์ ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ และได้ไปสร้างสำนักสงฆ์นครโมกุลขึ้น ที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี พระอาจารย์จำรูญ ปานจันทร์ จึงเป็นผู้นำคณะสงฆ์ถ้ำกระบอกตั้งแต่นั้นมา และได้บริหารงาน การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ พระอาจารย์เจริญ ปานจันทร์ ได้กลับมาพำนักที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกอีกครั้งหนึ่ง และได้ช่วยพระอาจารย์จำรูญ ปานจันทร์ บริหารงานต่างๆ ในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก เช่น การก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา สร้างหลักธรรมโลกุตตระ สร้างกุฏิสงฆ์ สร้างโบสถ์ วิหาร และสาธารณูปโภคอื่นๆ ส่วนในด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดยังอยู่ในความรับผิดชอบของพระอาจารย์จำรูญ ปานจันทร์ จนกระทั่งพระอาจารย์จำรูญได้ลาสังขาร พระอาจารย์เจริญจึงได้เป็นผู้นำคณะสงฆ์ถ้ำกระบอกสืบมา
จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ พระอาจารย์เจริญ ปานจันทร์ ได้กลับมาพำนักที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกอีกครั้งหนึ่ง และได้ช่วยพระอาจารย์จำรูญ ปานจันทร์ บริหารงานต่างๆ ในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก เช่น การก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา สร้างหลักธรรมโลกุตตระ สร้างกุฏิสงฆ์ สร้างโบสถ์ วิหาร และสาธารณูปโภคอื่นๆ ส่วนในด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดยังอยู่ในความรับผิดชอบของพระอาจารย์จำรูญ ปานจันทร์ จนกระทั่งพระอาจารย์จำรูญได้ลาสังขาร พระอาจารย์เจริญจึงได้เป็นผู้นำคณะสงฆ์ถ้ำกระบอกสืบมา

ประวัติแรกเริ่ม แม่ชีเมี้ยน เกิดที่ จังหวัดลพบุรี และย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ใกล้กับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต ต่อมาได้บวชเป็นชี ที่วัดคลองเม่า และได้ชักชวนหลานชาย คือ ท่านเจริญ ปานจันทร์ มาบวช และต่อมาท่าน จำรูญ ปานจันทร์ ได้ตามมาบวช
จนกระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ จึงได้นำพระ ๖ รูป และ สามเณร ๓ รูป ขึ้นไปพำนัก ที่ถ้ำกระบอก โดยพระสำนักถ้ำกระบอกนี้มีลักษณะที่ท่านได้กล่าวว่า เป็นพระพุทธกาล คือ ฉันมื้อเดียว รวมกันในบาตร เรียกการฉันลักษณะนี้ว่า "เอกากังคัง" รถเรือไม่ขึ้น จะไปไหน ต้องเดิน ไม่มีการยกเว้น แม้จะอาพาธ, เงินทองไม่รับ ไม่มีการรับเงินและถือเงินโดยเด็ดขาด ถือธุดงค์เป็นวัตร คือ มีการเดินธุดงค์ทุกปี ประมาณ สามเดือน ลักษณะเด่นอีกอย่างที่คนสมัยนั้นเรียกพระถ้ำกระบอกก็คือ พระกรรมกร อันเนื่องจากเหตุของคำสอนจากแม่ชีเมี้ยน ที่ว่า พระพุทธกาล กินแล้วไม่นอน และคำกล่าวขานที่พระถ้ำกระบอกเรียกแม่ชีเมี้ยน คือ หลวงพ่อใหญ่ โดยมีนามของท่าน คือ "องค์เขตะมารัจจะ" หรือ "องค์โลกุตระธรรม" และเป็นผู้ที่สร้างบทสวด หลายร้อยบท อันเป็นเอกลักษณ์ของถ้ำกระบอก ที่ไม่เหมือนสำนักสงฆ์ใดๆ อันเป็นที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง เพราะท่านไม่รู้หนังสือ ไม่เน้นศีล แต่เน้นที่การถวายและทำสัจจะ หรือ ที่เรียกกันว่า "สัจจะธรรม" การกระทำใดๆ ของทั้งสงฆ์และฆราวาส จะกระทำโดยการถวายสัจจะ เป็นข้อๆ มีระยะเวลา อีกทั้งไม่มีการสร้าง โบสถ์ วิหารหรือ กฐิน ผ้าป่า ใดๆ
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๒ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีคำสั่งคณะปฏิวัติให้ปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง ให้หมดไปจากราชอาณาจักร มีการจับกุมคุมขังและลงโทษผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างจริงจังขัดแย้ง กับความเห็นของพระอาจารย์จำรูญ ที่มองว่าการปราบปรามไม่สามารถกำจัดสิ่งเสพติดให้หมดไปได้ การลดละเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จะต้องมาจากจิตใต้สำนึกของคนเป็นสำคัญแม้จะใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ แค่ไหนก็ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ พระอาจารย์จำรูญจึงฝากข้อความไปถึงจอมพลสฤษดิ์ว่า "ปืนนั้นสู้บาตรไม่ได้หรอก จะเอาปืนไปปราบยาเสพติดก็ไม่ได้เช่นกัน" เมื่อข้อความถูกส่งไปถึงจอมพลสฤษดิ์ สำนักสงฆ์แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติดไปในทันใด โดย พล.อ.อ.ทวี จุลทรัพย์ ได้ซื้อที่ดิน ๓๒ ไร่เศษถวาย เพื่อจัดสร้างสถานบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด โดยตั้งเงื่อนไขว่าผู้เข้ารักษาจะต้อง เข้ารับสัจจะ ไม่สูบ ไม่เสพยาทุกชนิดโดยสมัครใจ และต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่ำ ๑๕ วัน ไม่ก่อความวุ่นวายใดๆ ในสถานที่บำบัด และไม่อ้างสิทธิหรือความจำเป็นออกนอกบริเวณสถานบำบัด